ณ.โลกปัจจุบันนี้ โลกได้ก้าวเข้าสู่ยุคโลกาภิวัฒน์ หรือยุคการสื่อสารไร้พรมแดนไปแล้ว และทุกๆคนที่อยู่บนโลกใบนี้ จะสามารถติดต่อสื่อสารระหว่างกันได้ตลอดเวลาไม่วาจะอยู่ ณ ที่ใดบนโลกก็ตาม ดังนั้นจากที่กล่าวมานี้ ก็เนื่องจากทุกๆประเทศได้มีการเชื่อมต่อระบบการสื่อสารระหว่างกันอย่างทั่ว ถึง และระบบการสื่อสารโทรคมนาคมที่จะสามารถตอบสนองต่อความต้องการดังกล่าวนี่ได้ ก็คงจะหนีไม่พ้นระบบการสื่อสารโทรคมนาคมผ่านดาวเทียม เพราะมีข้อได้เปรียบของระบบการสื่อสารผ่านดาวเทียมนั้นมีหลายประการที่หนือ กว่าการสื่อสารแบบในระบบอื่นๆ เช่น 1.สามรถครอบคลุมพื้นที่ให้บริการได้อย่างกว้างขวางกว่าเมื่อเทียบกับระบบ อื่นๆ 2.การสร้างระบบ และการดำเนินการของระบบสามารถทำได้ในเวลาอันรวดเร็ว และมีค่าใช้จ่ายน้อยกว่า เมื่อเปรียบเทียบกับระบบอื่น และข้อได้เปรียบอีกหลายประการที่การติดต่อสื่อสารโดยใช้ระบบดาวเทียมมีเหนือ กว่าระบบอื่นๆ ณ ปัจจุบันนี้ เทคโนโลยีของระบบการสื่อสารผ่านดาวเทียมในรูปแบบต่างๆได้มีการพัฒนาไปอย่างรวดเร็วมากเมื่อเปรียบเทียบกับสมัยก่อน ทั้งนี้เนื่องมาจากความเจริญก้าวหน้าของเทคโนโลยีในการผลิตสิ้นส่วนอุปกรณ์ อิเลคทรอนิกส์และอุปกรณ์ไมโครเวฟ ต่างๆ ที่ใช้สำหรับระบบ เทคโนโลยีการสื่อสารผ่านดาวเทียม จึงทำให้ระบบการสื่อสารผ่านดาวเทียมนั้นมีประสิทธิภาพและขีดความสามารถสูง ขึ้นกว่าเดิมเป็นอย่างมาก นอกจากนี้ในการประยุกต์การใช้งานของระบบการสื่อสารผ่านดาวเทียม เพื่อให้บริการในรูปแบบต่างๆนั้น ก็ยิ่งมีความสำคัญเป็นทวีคูณและสูงขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ เช่น การถ่ายทอดสดเหตุการณ์ต่างๆผ่านดาวเทียมแบบข้ามทวีป , การให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ ที่สามารถติดต่อถึงกันและกันได้ไม่ว่าผู้ใช้จะอยู่ ณ จุดใดๆบนพื้นโลกก็ตาม และประโยชน์อื่นๆอีกมากมายของการสื่อสารระบบผ่านดาวเทียม ชนิดของดาวเทียมแบบต่างๆ ดาวเทียมที่มนุษย์ส่งขึ้นไปโครจรเหนือผิวโลก ขณะนี่มีมากกว่า 200ดวง ซึ่งโคจร อยู่ที่ ณ ตำแหน่งต่างๆบนท้องฟ้า ดาวเทียมที่ส่งขึ้นไปเหนือผิวโลกนี้สามารถ แบ่งออกได้เป็น 3 แบบ ของลักษณะการโครจรเหนือผิวโลก 1. ดาวเทียมแบบโครจรตามยถากรรมเป็น ดาวเทียมรุ่นแรกๆ ที่มนุษย์ส่งขึ้นไปโครจรเหนือพื้นผิวโลก สมัยก่อนนั้นระบบเทคโนโลยี ของการส่ง และการควบคุมดาวเทียมนั้นยังไม่ดีเท่าทีควร ดาวเทียมแบบนี้ แต่ละดวงจะมีวงโครจรเป็นของตัวเองต่างจากดวงอื่นๆ และระดับความสูงแต่ละดวงจะแตกต่างกัน และเป็นดาวเทียมที่บังคับวงโครจรและระดับความสูงไม่ได้ 2. ดาวเทียมแบบเฟสเป็น ดาวเทียมที่มีวงโครจรแตกต่างกันไปตามวัตถุประสงค์ที่จะให้ดาวเทียมนั้นๆโค รจรผ่าน ณ ตำแหน่งใดๆเหนือพื้นโลก เช่น โครจรเหนือเส้นศูนย์สูตร โครจรเอียง 30องศา โครจรผ่านขั้วโลกเหนือหรือขั้วโลกใต้เป็นต้น ดาวเทียมแบบนี้เป็นดาวเทียมที่บังคับวงโครจรได้ เช่น ดาวเทียมสำรวจทรัพยากร ดาวเทียมจารกรรม เป็นต้น 3. ดาวเทียมแบบโครจรอยู่กับที่ เป็น ดาวเทียมที่ใช้เพื่อการสื่อสาร โดยมนุษย์ส่งขึ้นไปให้มีระดับความสูงประมาณ 35,860 กิโลเมตร เหนือพื้นโลก รอบเส้นศูนย์สูตร (รอบ เส้นรุ้งที่ 0 องศา ) และมีความเร็วในการโครจรรอบโลกครบหนึ่งรอบเท่ากับโลกหมุนรอบตัวเองหนึ่งรอบ เช่นกัน ดังนั้นเมื่อเราสังเกตดูดาวเทียมดวงใดดวงหนึ่ง ณ จุดใดจุดหนึ่งพื้นโลกเป็นเวลาหนึ่ง จึงดูเสมือนว่าดาวเทียมดวงเรามองอยู่นั้นลอยนิ่งอยู่กับที่ ไม่มีการเคลื่อนที่. สมัยที่ท่านเรียนหนังสือ ท่านคุณครูบ้างท่านอาจเรียกดาวเทียมชนิดนี้ว่า " ดาวเทียมค้างฟ้า " ดาวเทียมแบบนี้เป็นดาวเทียมเพื่อการสื่อสาร |
อายุการใช้งานของจานดาวเทียม โดย ส่วนมากจะขึ้นอยู่กับ เชื้อเพลิงหรือแหล่งพลังงานที่บรรจุอยู่ในดาวเทียมเพื่อการควบคุมตำแหน่ง แผงโซล่าเซลล์ หรือเซลล์แสงอาทิตย์ ที่เป็นตัวจ่ายพลังงานให้กับอุปกรณ์ไฟ้ฟ้า และ อิเลคทรอนิกส์ ต่างๆ ที่อยู่ในดาวเทียม และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง Traveling wave tube ( TWT ) ที่ใช้เป็นอุปกรณ์ขยายสัญญาณในดาวเทียม การส่งดาวเทียมขึ้นสู่วงโครจรสามารถส่งได้2วิธี คือ1.การส่งโดยใช้จรวด 2. การส่งโดยใช้ยานขนส่งอวกาศ |
ทรานสปอนเดอร์ของจานดาวเทียมเพื่อ การสื่อสาร จะทำหน้าที่รับสัญญาณที่ขึ้นไปจากบนโลก (สัญญาณ up link ) แล้วเปลี่ยนความถี่ของสัญญาณให้ต่ำลงให้อยู่ในย่านความถี่ Down Link แล้วขยายสัญญาณให้มีความแรงของสัญญาณสูงขึ้น แล้วส่งสัญญาณกลับลงมายังโลกโดยผ่านสายอากาศแบบต่างๆกันตามจุดประสงค์ |
ความถี่ขาลง ( down link frequency ) ของดาวเทียมสื่อสารที่ใช้ความถี่ย่าน C-band จะมีค่าความถี่อยู่ในช่วง 3700Mhz - 4200 Mhz. หรือ 3.7Ghz - 4.2 Ghz ช่วงความกว้างของความถี่ขาลง ( down link frequency range หรือ bandwidth ) ของดาวเทียมสื่อสารที่ใช้ความถี่ย่าน C-band จะมีความกว้าง = 480 Mhz หรือ 0.48 Ghz และ แบ่งการส่งสัญญาณแยกออกเป็นช่องย่อยๆ ในแต่ละช่วงอีก หรือ เรียกว่า transponder 1ช่องทรานสปอนเดอร์ของดาวเทียมสื่อสารที่ใช้ความถี่ย่าน C-band จะมีความกว้างของช่วงความถี่ขาลง ( down link frequency range of transponder หรือ transponder bandwidth ) = 40 Mhz เพราะฉะนั้น ดาวเทียมสือสารที่ใช้ความถี่ย่าน c-band จะสามารถมีทรานสปอนเดอร์ได้ถึง 12ทรานสปอนเดอร์ ในแต่ละแนวการส่ง , Polarizatiion ( แนวการส่งสัญญาณ )ใน ดาวเทียมสื่อสาร สามารถ กำหนดแนวการส่งสัญญาณได้เป็น2ลักษณะคือ 1. แนวตั้ง ( vertical ) และ 2.แนวนอน ( Horizontal ) , ดาวเทียมสื่อสารรุ่นใหม่ทั่วๆไป สามารถทีจะมีช่องทรานสปอนเดอร์ในแนวตั้ง ( Vertical ) ได้ 12ทรานสปอนเดอร์ และมีช่องทรานสปอนเดอร์ในแนวนอน ( Horizontal ) ได้ อีก12ทรานสปอนเดอร์ รวมเป็น 24ทรานสปอนเดอร์ ปัจจุบันนี้ 1ทรานสปอนเดอร์ของดาวเทียมสื่อสารในระบบ Digital สามารถส่งช่องรายการทีวีได้มากถึง 12ช่องรายการ ในลักษณะที่มีการบีบอัดข้อมูลในระบบ Mpeg 2 ฉะนั้นดาวเทียมสื่อสารที่รับและส่งรายการทีวีอย่างเดียวจะสามารถที่จะส่ง ช่องรายการทีวีได้รวมมากถึง 288 ช่องรายการ |
ความถี่ขาลง ( down link frequency ) ของดาวเทียมสื่อสารที่ใช้ความถี่ย่าน ku-band จะมีค่าความถี่อยู่ในช่วง 11700Mhz - 12200 Mhz. หรือ 11.7Ghz - 12.2 Ghz ช่วงความกว้างของความถี่ขาลง ( down link frequency range หรือ bandwidth ) ของดาวเทียมสื่อสารที่ใช้ความถี่ย่าน ku-band จะมีความกว้าง = 480 Mhz หรือ 0.48 Ghz และ แบ่งการส่งสัญญาณแยกออกเป็นช่องย่อยๆ ในแต่ละช่วงอีก หรือ เรียกว่า transponder ***เท่ากับ ย่าน c-band*** 1ช่องทรานสปอนเดอร์ของดาวเทียมสื่อสารที่ใช้ความถี่ย่าน ku-band จะมีความกว้างของช่วงความถี่ขาลง ( down link frequency range of transponder หรือ transponder bandwidth ) = 40 Mhz เพราะฉะนั้น ดาวเทียมสือสารที่ใช้ความถี่ย่าน ku-band จะสามารถมีทรานสปอนเดอร์ได้ถึง 12ทรานสปอนเดอร์ ในแต่ละแนวการส่ง ***เท่ากับ ย่าน c-band*** กราฟแสดงช่องความถี่ของสัญญาณขาลง ( down link Freq. ) ของดาวเทียมที่ใช้ความถี่ย่าน C-band และ KU-BAND |
หมายเหตุ สัญญาณ " ไมโครเวฟ " คือสัญญาณที่มีความถี่ตั้งแต่ 1GHz ขึ้นไป
กำลังส่งออกที่มีผล ( ค่า EIRP ) กำลัง ส่งออกที่มีผลหมายถึง กำลังส่งออกที่ออกจากจานสายอากาศทางด้านส่ง ซึ่งเป็นผลรวมของกำลังของเครื่องส่ง การสูญเสียที่เกิดจากท่อนำคลื่นระหว่างเครื่องส่งถึงจานสายอากาศ อัตราเพิ่มกำลังของจานสายอากาศ ซึ่งอัตราการเพิ่มกำลังของจานสายอากาศนี้เป็นการเปรียบเทียบกำลังที่ส่งออก จากจานสายอากาศเทียบกับกำลังที่ส่งได้เมื่อใช้สายอากาศแบบมีทิศทางส่งรอบตัว เป็นสายอากาศส่ง กำลังส่งออกทีมีผล คำนวณได้ดังนี้ EIRP = Pt - Lft + Gt ( dBW ) *** มีหน่วยเป็น decibel Watt *** เมื่อ Pr คือ กำลังของเครื่องส่ง ( dB ) = 10 Log Pt ( W ) Lft คือ การสูญเสียที่เกิดจากระบบสายส่ง ( dB ) Gt คือ อัตราการเพิ่มกำลังของจานสายอากาศส่ง ( dB ) ค่า EIRP ( กำลังส่งที่มีผล หรือ ค่าความแรงของสัญญาณดาวเทียมที่ส่งลงมายังพื้นโลก ) ในแต่ละพื้นที่จะมีความแรงของสัญญาณที่ไม่เท่ากัน จุดศูนย์กลางของฟรุตปรินท์จะมีความแรงของสัญญาณมากที่สุด |
รูปโครงสร้างดาวเทียม
1.สายอากาศรับสัญญาณการควบคุมและการส่งสัญญาณมาตรวัดใช้ในช่วงวงโคจรโอนถ่าย และในกรณีฉุกเฉิน 2.สายอากาศแบบจานจุดประสงค์หลักเพื่อใช้ในการรับและส่งสัญญาณ ทั้งระบบ C-Band และ KU-Band 3.อุปกรณ์รับและส่งสัญญาณที่มาจากจานและระบบภายในดาวเทียม 4.ระบบเปิดปิดหน้าจานและปรับตำแหน่งของสายอากาศแบบจานดาวเทียม 5.ส่วนที่รับ-ส่งข้อมูลDATAระหว่างพื้นโลกกับดาวเทียม 6.อุปกรณ์ขยายสัญญาณdataที่ส่งถ่ายข้อมูลระหว่างดาวเทียมกับพื้นโลก 7.ส่วนโลหะแพร่ความร้อนของดาวเทียม 8.อุปกรณ์ควบคุมระบบถังเชื้อเพิลงของดาวเทียม 9.ชุดแบตเตอรี่ควบคุมและจ่ายพลังงานต่างๆให้กับดาวเทียม 10.จรวดเชื้อเพิลงแข็งใช้สำหรับส่งดาวเทียมจากวงโคจรให้เข้าสู่วงโคจรค้างฟ้า 11.แผง เซลล์พลังงานแสงอาทิตย์ ใช้สำหรังแปรงพลังงานแสงอาทิตย์เป็นพลังงานไฟฟ้า และจะเก็บไว้ในชุดแบตเตอรี่เพื่อจ่ายพลังงานให้กับระบบดาวเทียม |
ตัวอย่างข้อมูล ดาวเทียมไทยคม 5THAICOM-5 is a three-axis stabilized spacecraft with a payload capacity of 25 C-Band and 14 Ku-Band transponders. Global beam coverage on THAICOM-5 spans over four continents and can service users in Asia, Europe, Australia, and Africa. The high-powered Ku-Band transponders, with both spot and steerable beams, are ideally suited to Digital DTH services for Thailand and other countries in the region. |
Specifications | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
Footprint | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
[A] C-Band Global *** Beam Peak ( EIRP ) = 38dBW *** [B] C-Band Regional Beam *** Beam Peak ( EIRP ) =41 dBW *** [C] Ku-Band Thailand Beam *** Beam Peak ( EIRP ) = 57 dBW *** [D] Ku-Band Indochina Beam *** Beam Peak ( EIRP ) = 56 dBW ***
ตารางมุมก้มเงยของการติดตั้งจานดาวเทียมระบบ C-BAND ( จานดำ ) ณ.ที่จังหวัดต่างๆ
|
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น